คำเทศนา: คนบาปในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพิโรธ โดย Jonathan Edwards

เขียนโดย Karl Dahlfred.

portrait of Jonathan Edwardsคำเทศนา: คนบาปในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพิโรธ 
(Sinners in the Hands of an Angry God)

เทษนาโดย ศจ. Jonathan Edwards  
ที่เมือง Enfield รัฐ Connecticut ที่อเมริกา  
ในวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1741

“รอเวลาเมื่อเท้าของเขาจะลื่นพลาด” เฉลยธรรมบัญญัติ 32:35


ในข้อพระคัมภีร์ข้อนี้พระเจ้าได้ขู่ที่จะแก้แค้นชาวอิสราเอลที่ชั่วร้ายและไม่เชื่อฟังพระองค์ ชาวอิสราเอลเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้เพื่อจะให้เป็นแบบอย่างให้แก่โลกนี้ได้เห็นว่าคนของพระเจ้าควรจะเป็นเช่นไร พวกเขาเพลิดเพลินใจกับพระกรุณาพิเศษที่พระเจ้าทรงมอบให้ แต่ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงมีพระกรุณากับพวกเขามากขนาดไหน พวกเขาก็ยังคงโง่เขลาอยู่เช่นเดิม เหมือนที่ในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 32:28 “เพราะเขาทั้งหลายเป็นประชาชาติที่ขาดคำปรึกษา ในพวกเขาไม่มีความเข้าใจ” ทั้งๆที่พวกเขาได้รับผลดีเลิศ จากการที่พระเจ้าทรงประทับอยู่กับพวกเขา ให้คำแนะนำเขาและชี้ทางเขา แต่เขาก็ยังประพฤติตัวเป็นเหมือนกับบุตรแห่งความชั่วร้ายมากกว่าเป็นเหมือนบุตรของพระเจ้า เหมือนที่เฉลยธรรมบัญญัติ 32:32-33 ได้บอกไว้ว่า “เพราะว่าเถาองุ่นของเขาคือเถาองุ่นเมืองโสโดม และมาจากไร่เมืองโกโมราห์ ผลองุ่นของเขาเป็นองุ่นขม ทั้งพวงองุ่นก็ขมด้วย เหล้าองุ่นของเขาเป็นพิษงู เป็นพิษร้ายแรงของงูเห่า”

ข้อพระคำที่ข้าพเจ้าได้สำหรับเนื้อหาในตอนนี้ “รอเวลาเมื่อเท้าของเขาจะลื่นพลาด” ดูเหมือนจะเป็นข้อที่มีความหมาย 4 ประเด็นด้านล่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการลงโทษและความพินาศที่พวกชาวอิสราเอลที่ชั่วร้ายได้ยินยอมให้มันเกิดขึ้นกับพวกเขา

1.    ประการแรก พวกเขาเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในความพินาศ เช่นเดียวกับคนที่กำลังยืนหรือเดินอยู่บนทางที่ลื่นย่อมมีโอกาสที่จะล้มลง เหมือนกับแค่รอคอยว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยที่ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงมันได้ เนื้อหาในพระธรรมตอนนี้ได้กล่าวให้เห็นว่า การทำลายจะมาถึงเขา: เท้าของเขาจะลื่นพลาด ความคิดในทางเดียวกันนี้สามารถพบได้อีกที่ในพระธรรมสดุดี  73:18  “แน่​ที‌เดียว พระ‌องค์​ทรง‌วาง​เขา​ทั้ง‌หลาย​ไว้​ใน​ที่​ลื่น พระ‌องค์​ทรง​ทำ​ให้​พวก‌เขา​ล้ม​ถึง​ความ​พินาศ”

2.    ประการที่สอง ข้อนี้กำลังบอกว่า พวกเขาเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในความพินาศที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่คาดฝัน      เช่นเดียวกับคนที่กำลังเดินอยู่บนทางที่ลื่นย่อมมีความเสี่ยงที่จะลื่นล้มอยู่ตลอดเวลา พวกเขาไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าก้าวไหนของเขาที่จะพลาดล้มลง  และเมื่อเขาล้มลง เขาจะล้มลงโดยปราศจากคำเตือน ความคิดในทางเดียวกันนี้อยู่ในพระธรรมสดุดี 73:18-19  “แน่ทีเดียว พระองค์ทรงวางเขาทั้งหลายไว้ในที่ลื่น พระองค์ทรงทำให้พวกเขาล้มถึงความพินาศ แหม เขาทั้งหลายถูกทำลายเสียในครู่เดียว ถูกเหตุการณ์สยดสยองกวาดไปอย่างสิ้นเชิง”

3.    ประการที่สาม อีกสิ่งหนึ่งที่ข้อนี้กำลังบอกคือ พวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงเนื่องจากการกระทำของพวกเขาเอง ไม่มีใครทำให้เขาล้มลงได้ คนที่กำลังยืนหรือเดินอยู่บนทางที่ลื่นพร้อมที่จะลื่นล้มตลอดเวลาเนื่องจากน้ำหนักตัวของตัวเอง

4.    ประการที่สี่ เหตุผลที่พวกเขายังไม่ได้ล้มลงหรือยังไม่กำลังล้มลงเป็นเพราะว่า เวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ยังไม่มาถึง เพราะพระคำตอนนี้กล่าวไว้ว่า เมื่อเวลามาถึง เท้าของเขาจะลื่นพลาด และเมื่อนั้นเขาจะล้มลงเพราะว่าน้ำหนักตัวของเขาเอง พระเจ้าจะไม่ประคองเขาให้สามารถเดินในทางที่ลื่นได้อีกต่อไป แต่ว่าจะปล่อยมือจากเขา และเมื่อนั้นเองพวกเขาจะตกลงไปสู่ความพินาศ เช่นเดียวกันกับคนที่ยืนอยู่บนทางลื่นชันบริเวณขอบหน้าผา คนนั้นจะไม่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง และเมื่อเขาถูกปล่อยมือ เขาจะต้องตกลงทันทีทันใดและจะหายสาบสูญไป
ข้าพเจ้าอยากจะขอเตือนพวกเราให้เรียนรู้บทเรียนสำคัญบทนี้จากถ้อยคำที่ได้กล่าวว่า :

    “ไม่มีอะไรสามารถช่วยมนุษย์แม้แต่เพียงคนเดียวให้รอดพ้นจากนรกได้แม้แต่วินาทีเดียว มีแค่เพียงพระกรุณาและความอดทนของพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยเราได้ และพระกรุณาที่พระองค์มอบให้เรานั้นเราไม่สมควรที่จะได้รับเลยแม้แต่น้อย” โดย”พระกรุณาและความอดทน” ของพระเจ้า ข้าพเจ้าหมายถึงพระกรุณาของพระเจ้าเท่านั้น เป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่ไม่ขึ้นอยู่กับอิทธิพลจากใครหรือว่าสิ่งไหนทั้งนั้น พระองค์ไม่ได้ทรงถูกบังคับจากหน้าที่หรือข้อผูกมัดต่าง ๆ ไม่มีอุปสรรคอะไรมายับยั้งพระองค์ได้ จากบทเรียนที่สำคัญบทนี้ เราจะได้เห็นความจริงจากความคิดเห็น 10 ประการด้านล่าง

1.พระเจ้าทรงมีฤทธิ์อำนาจในการที่จะโยนคนบาปลงไปในนรกได้ทุกเวลา มือของมนุษย์ไม่มีทางที่จะแข็งแรงพอที่จะสามารถปกป้องตัวเองได้ถ้าพระเจ้าทรงลุกขึ้นต่อสู้กับเรา ต่อให้ผู้ที่แข็งแรงที่สุดของเราก็ไม่มีพลังที่จะต้านทานพระองค์ได้ ไม่มีสิ่งใดและไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเราให้พ้นจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ พระองค์ไม่ใช่แค่สามารถโยนคนบาปลงไปในนรกได้เท่านั้น แต่พระองค์ยังสามารถที่จะทำได้อย่างง่ายดายด้วย บางครั้งกษัตริย์ของโลกนี้หรือประธานาธิบดีอาจจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องพยายามปราบปรามกลุ่มกบฏที่มีอาวุธและมีกำลังเข้มแข็งเนื่องจากเขามีผู้ติดตามเป็นกองทัพ  แต่กับพระเจ้าแล้วสถานการณ์เช่นนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นกับพระองค์ได้เลย ไม่มีป้อมปราการไหนๆ ที่จะต้านทานกำลังของพระองค์ได้ ต่อให้เรารวบรวมคนที่ต่อต้านพระเจ้าและศัตรูของพระเจ้าจำนวนมากมายมหาศาลเข้าด้วยกันเพื่อที่จะสร้างกองทัพอันทรงพลัง พระองค์ก็ยังคงสามารถทำลายกองทัพนั้นให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ได้อย่างง่ายดาย กำลังที่พวกนั้นมีเปรียบเสมือนกับเศษฝุ่นเล็ก ๆ ที่เข้ามาขวางทางพายุเฮอร์ริเคน หรือกองใบไม้แห้งที่อยู่ในทางที่ไฟป่ากำลังมา เรารู้ว่าเราสามารถเหยียบและบดขยี้หนอนตัวหนึ่งที่กำลังคลานบนพื้นได้อย่างง่ายดาย และเป็นเรื่องง่ายดายที่เราจะตัดด้ายเส้นบาง ๆ ที่มีของบางอย่างแขวนอยู่บนนั้น ในทำนองเดียวกัน สำหรับพระเจ้าแล้วมันง่ายดายเหลือเกิน ที่พระองค์จะปล่อยให้ศัตรูของพระองค์ลื่นตกลงไปในนรกเมื่อไหร่ก็ตามที่พระองค์พอพระทัย  เราคิดว่าเราเป็นใครที่จะสามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ได้อย่างมั่นคง เมื่อพระองค์ทรงตีสอนแผ่นดินโลกก็สะเทือน และต่อพระพักตร์พระองค์แม้แต่ภูเขาก็ถูกโยนทิ้งไปได้

2. สมควรแล้วที่พวกเขาจะถูกโยนลงไปในนรก ความยุติธรรมของพระเจ้าจะไม่มายืนขวางทางไม่ให้คนถูกโยนเข้าไปในนรก และความยุติธรรมของพระเจ้าจะไม่คัดค้านพระองค์ไม่ให้ใช้ฤทธิ์อำนาจในการทำลายล้างคนเหล่านั้นในนรก    ในทางตรงกันข้าม ความยุติธรรมกำลังร้องเรียกให้พวกเขาต้องได้รับการลงโทษที่ไม่มีวันสิ้นสุดเนื่องจากความบาปของพวกเขา ความยุติธรรมของพระองค์กล่าวว่า “ถ้าเจ้าออกผลเลวเหมือนดังเมืองโสโดมที่ชั่วร้าย ดังนั้นจง “โค่นมันทิ้งไป จะให้ดินจืดไปเปล่าๆ ทำ” (ลูกา 13:7)  ดาบแห่งความยุติธรรมของพระเจ้าได้ยกขึ้นที่คอของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา และไม่มีอะไรที่จะยับยั้งมันได้ นอกจากพระหัตถ์แห่งพระกรุณาที่เปี่ยมด้วยความอดทนและพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น

3. พวกเขาถูกพิพากษาตัดสินให้ตกนรกแล้ว พวกเขาไม่เพียงแต่สมควรที่จะต้องถูกส่งลงไปในนรกเท่านั้น คำพิพากษาที่มาจากกฎหมายของพระองค์ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ดำรงอยู่นิตย์นิรันดร์และเป็นกฎแห่งความชอบธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงที่พระเจ้าได้ตั้งไว้ระหว่างพระองค์เองกับมนุษย์ ได้มีคำพิพากษาสุดท้ายให้พวกเขาแล้ว ดังนั้นพวกเขาได้ถูกตัดสินให้ตกนรกอยู่แล้ว จากยอห์น 3:18 เราได้อ่านว่า “คนที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกพิพากษา ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า” ดังนั้นนรกก็เป็นเจ้าของคนที่ไม่ได้กลับใจใหม่ทุกคน ที่นั่นเป็นที่ของพวกเขา และพวกเขามาจากนรก ยอห์น 8:23 “ พวกท่านเป็นของเบื้องล่าง” และพวกเขากำลังเดินทางไปยังที่เบื้องล่างนั้น นรกเป็นที่ซึ่งความยุติธรรมของพระเจ้าและพระคำของพระองค์และคำพิพากษาของกฎที่ไม่มีวันเปลี่ยนของพระเจ้าได้กำหนดไว้ให้กับพวกเขา

4. พวกเขาได้ตกเป็นเป้าของความโกรธอันรุนแรงของพระเจ้า เป็นพระพิโรธแบบเดียวกันกับที่เราได้จากเห็นความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นในนรก และที่พวกเขายังไม่ได้ลงนรกไปไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้า (ที่มีอำนาจเหนือพวกเขาอยู่) โกรธพวกเขาน้อยกว่าพวกน่าเวทนามากมายที่อยู่ในนรก และกำลังทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างแสนสาหัส ซึ่งคนเหล่านั้นกำลังแบกรับพระพิโรธอันร้อนแรงของพระเจ้าอยู่ที่ในนรกเรียบร้อยแล้ว ในความเป็นจริง พระองค์ทรงพิโรธคนที่กำลังอยู่บนโลกนี้มากกว่า ที่จริงแล้วพระองค์ทรงพิโรธคนมากมายที่นั่งอยู่ในห้องนี้ที่เฉย ๆกับชีวิตของตนเอง  ทรงพิโรธพวกเขากกว่าคนเหล่านั้นที่อยู่ในเปลวเพลิงแห่งนรกแล้วตอนนี้  

ดังนั้น ไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้าไม่รู้ถึงความชั่วร้ายของพวกเขา และไม่ได้โกรธพวกเขา พระองค์จึงไม่ปล่อยมือของพระองค์และตัดพวกเขาทิ้งเสียจากพระกรุณาที่อดทนของพระองค์ พระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นเหมือนพวกเรา ถึงแม้ว่าเรามักจะจินตนาการให้พระองค์เป็นแบบเรา  พระพิโรธของพระเจ้ากำลังเผาไหม้พวกเขาอยู่ คำสาปแช่งไม่ได้หลับไหล ขุมนรกได้ถูกเตรียมไว้แล้ว ไฟพร้อมที่จะเผาผลาญ เตาหลอมก็ร้อนแล้ว และรอคอยที่จะรองรับพวกเขา เปลวเพลิงโหมกระหน่ำและส่องแสงรออยู่ ดาบอันแหลมคมส่องประกายและง้างรออยู่เหนือพวกเขา และขุมนรกได้เปิดปากของมันอยู่ใต้พวกเขาแต่ละคน

5. มารซาตานพร้อมเสมอที่จะคว้าและจับพวกเขาไปเป็นของมัน เมื่อพระเจ้าปล่อยมือจากพวกเขา พวกเขาจะตกเป็นของพวกมาร พวกมันได้จิตวิญญาณของพวกเขาไปครอบครองและพวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของมันแล้ว พระคัมภีร์ได้เปรียบว่าพวกเขาเป็นของพวกมันในยอห์น 8:44 “พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร” มารซาตานจับตาเฝ้าดูพวกเขาอยู่ พวกมันอยู่ใกล้ๆพวกเขา ราวกับว่ามันอยู่ที่มือขวาของพวกเขา มันยืนเฝ้าพวกเขาอยู่ราวกับสิงโตผู้หิวโหยที่จ้องจะตะครุบเหยื่อของมัน แค่ยังรอเวลาอยู่ ถ้าเพียงแต่พระเจ้าปล่อยมือจากพวกเขา พวกวิญญาณชั่วจะกระโจนเข้าไปหาจิตวิญญาณที่น่าสงสารของพวกเขาในทันใด เจ้างูร้าย, ซาตาน, อ้าปากรอพวกเขาอยู่และนรกเปิดปากกว้างรอรับพวกเขาอยู่ ถ้าเพียงแต่พระเจ้าอนุญาต พวกเขาจะถูกกลืนลงและหายสาบสูญไปในพริบตาเดียว

6.กฎของความบาปควบคุมธรรมชาติของมนุษย์อยู่ ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงควบคุมผลของกฎแห่งความบาปเหล่านั้น พวกเขาจะถูกไฟนรกเผาผลาญในทันทีทันใด พื้นฐานของความทุกข์ทรมานในนรกนั้นก็อยู่ในธรรมชาติความบาปของมนุษย์แล้ว กฎแห่งธรรมชาติความบาปได้ควบคุมพวกเขาอยู่ และเป็นเจ้าของพวกเขาอย่างสมบูรณ์แบบ และกฎเหล่านั้นเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ของไฟนรก กฎแห่งนรกนี้มันทรงพลังและกำลังทำงานอยู่ตลอดเวลา และธรรมชาติของมันรุนแรงอย่างร้ายกาจ และถ้าไม่ใช่เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้ายับยั้งเอาไว้ พวกเขาจะถูกไฟนรกเผาผลาญจนมอดไหม้ พวกเขาจะเป็นเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น ความชั่วร้ายและความปรารถนาชั่วในใจของเขาจะทรมานหัวใจของเขาเอง คนที่ยังมีชีวิตก็จะต้องตกอยู่ในความทรมานเช่นเดียวกันกับพวกที่ตายไปแล้ว พระคัมภีร์เปรียบเทียบดวงวิญญาณของคนบาปว่าเป็นเหมือนกับ ทะเลที่ไม่สงบ “แต่คนอธรรมนั้นเหมือนทะเลที่กำเริบซึ่งนิ่งสงบอยู่ไม่ได้ และน้ำของมันก็กวนตมและเลนขึ้นมา” ในเวลานี้ พระเจ้าทรงยับยั้งความชั่วร้ายของพวกเขาด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงยับยั้งคลื่นลมที่พัดกระหน่ำยามที่ทะเลมีพายุ ที่กล่าวว่า “เจ้าไปได้ไกลแค่นี้แหละ อย่าไปอีกเลย และคลื่นคะนองของเจ้าหยุดเพียงแค่นี้แหละ”  (โยบ 38:11) แต่ถ้าพระเจ้าไม่ได้ใช้อำนาจของพระองค์ที่จะยับยั้งไว้ ธรรมชาติบาปของเขาจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางมันอยู่ ความบาปคือโศกนาฎกรรมและมันคือการทำลายจิตวิญญาณ ธรรมชาติของมันคือการทำลายล้าง และถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงยับยั้งการงานของมัน ดวงวิญญาณของมนุษย์จะต้องอยู่อย่างน่าเวทนา ความเสื่อมทรามของหัวใจมนุษย์นั้นไม่มีขีดจำกัดและไม่มีอะไรมายับยั้งได้  และในขณะที่คนบาปทั้งหลายดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เปรียบเสมือนกับไฟที่กำลังลุกโหมแต่ว่าพระเจ้ากำลังควบคุมมันอยู่ และถ้ามันถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อไหร่ มันจะเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างให้มอดไหม้ และเพราะว่าหัวใจของมนุษย์นั้นเป็นเหมือนโกดังที่เก็บสะสมความบาปเอาไว้ เมื่อไหร่ที่ความบาปไม่ได้ถูกยับยั้งเอาไว้ ในพริบตาเดียวมันจะเปลี่ยนดวงวิญญาณให้เป็นเสมือนกับเตาไฟที่ลุกโชน หรือเตาหลอมไฟและกำมะถัน

7.ไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่คนบาปควรจะรู้สึกสบายใจที่เห็นว่าความตายไม่ได้อยู่ใกล้ๆเขา ไม่มีหลักประกันใดๆให้กับคนที่สุขภาพดีหรือคนที่ไม่คิดว่าเป็นไปได้ที่เขาจะต้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ หรือจะมีอะไรที่จะทำให้เขาตายได้ในสถานการณ์ที่เขาอยู่ตอนนี้ จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัยได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คนที่ดูเหมือนว่าอยู่อย่างปลอดภัยไม่ได้หมายความว่าชีวิตของเขาไม่ได้กำลังจะเผชิญกับชีวิตหลังความตาย และเขาไม่อาจจะรู้ได้ว่าก้าวต่อไปของเขาอาจจะนำเขาไปอีกโลกหนึ่งแล้ว วิธีที่คนจะตายอย่างกระทันหันโดยที่ไม่รู้ตัวหรือคาดคิดมาก่อนนั้นมีอยู่อย่างนับไม่ถ้วนและเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ คนที่ไม่ได้กลับใจใหม่เดินผ่านหลุมนรกบนสะพานเก่าๆที่ผุพัง และสะพานนั้นมีบริเวณที่ไม่แข็งแรงพอที่จะสามารถรับน้ำหนักของเขาได้อยู่นับไม่ถ้วน และเขามองไม่เห็นบริเวณเหล่านั้น ลูกศรแห่งความตายลอยไปมาอยู่แม้ในเวลากลางวันโดยที่ไม่มีใครมองเห็น แม้แต่ดวงตาคู่ที่เฉียบคมมากที่สุดก็ไม่สามารถมองเห็นมัน พระเจ้าทรงมีวิธีมากมายเกินกว่าที่เราจะคิดค้นได้ในการที่จะพรากดวงวิญญาณของมนุษย์ออกไปจากโลกและส่งมันลงไปยังขุมนรก ซึ่งพระองค์เองไม่จำเป็นที่จะต้องทำการอัศจรรย์หรือออกไปเพื่อทำลายคนบาปเหล่านั้นอีกต่อไป ทุกวิถีทางที่ทำให้คนบาปเหล่านั้นต้องออกจากโลกใบนี้ไปล้วนแล้วอยู่ภายใต้พระหัตถ์ของพระเจ้า มันอยู่ภายใต้ฤทธิ์อำนาจและวิจารณญาณของพระองค์อย่างสิ้นเชิงและเป็นอย่างนี้ทั่วทั้งจักรวาล ทุกอย่างล้วนแต่ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่คนบาปจะต้องตกนรกเมื่อไหร่, วิธีที่พระองค์จะใช้อาจจะเป็นวิธีที่ไม่เคยใช้มาก่อน หรือเป็นไปไม่ได้ในกรณีนั้น ๆ

8. ความพยายามที่จะปกป้องชีวิตของพวกเขาเอง หรือที่มีคนอื่นพยายามปกป้องชีวิตของพวกเขา ไม่ได้ทำให้พวกเขาปลอดภัยขึ้นเลยแม้แต่วินาทีเดียว จากการที่ได้เห็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำและประสบการณ์ที่เรามีได้ยืนยันความจริงนี้ มีหลักฐานมากมายที่ทำให้เห็นว่าสติปัญญาของมนุษย์และความพยายามต่าง ๆ ไม่สามารถปกป้องพวกเขาจากความตายได้ ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงจะได้เห็นความแตกต่างระหว่างบรรดานักปราชญ์หรือคนที่มีสติปัญญาหลักแหลมของโลกนี้กับคนอื่นทั่วไป แต่พวกเขาไม่ต่างกันเลยเพราะทุกคนล้วนแต่ต้องประสบกับความตายแบบที่ไม่คาดคิดหรือเกิดขึ้นเร็วเกินกว่าที่คิดไว้ ความเป็นจริงมันเป็นอย่างไรน่ะหรือ ดังเช่นที่พระธรรมปัญญาจารย์ 2:16 บอกไว้ “คนมีสติปัญญาก็ตายเหมือนคนเขลา”

9. ความพยายามและแผนการต่าง ๆ ที่คนบาปพยายามจะทำเพื่อหนีจากการตกนรกนั้น (ในเวลาเดียวกันพวกเขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เขายังคงเป็นคนบาปอยู่นั่นเอง) ไม่ได้ช่วยปกป้องเขาจากนรกได้เลย เกือบทุกคนที่ได้ยินเรื่องนรกจะปลอบใจตัวเองว่าพวกเขาควรจะต้องหลีกหนีมัน พวกเขาใช้ตัวเองเป็นความมั่นคงในชีวิตของพวกเขา พวกเขายกยอตัวเองในสิ่งที่พวกเขาเคยทำ, สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน, หรือในสิ่งที่พวกเขาตั้งใจที่จะทำ ทุกคนวางแผนการอยู่ในใจของตนเองว่าจะทำอย่างไรเพื่อจะหลีกเลี่ยงคำแช่งสาปนี้ได้ และพวกเขายกย่องตัวเองว่าพวกเขาทำได้ดีแล้ว และแผนการของเขาจะไม่ล้มเหลว พวกเขาได้ยินว่า แท้จริงแล้วจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับความรอด ดังที่ มัทธิว 7:14 “เพราะประตูที่แคบและทางที่ลำบากนั้นนำไปสู่ชีวิต และพวกที่หาพบก็มีน้อย”  พวกเขาได้ยินว่าคนส่วนมากที่ตายไปแล้วตอนนี้อยู่ในนรก แต่พวกเขาก็จินตนาการเอาเองว่าสิ่งที่เขาพยายามทำเพื่อหลีกหนีจากนรกนั้นดีกว่าสิ่งที่พวกคนเหล่านั้นได้ทำ พวกเขาตั้งใจว่าจะไม่ยอมไปที่แห่งความทุกข์ทรมานแห่งนั้น พวกเขาพูดกับตัวเองว่าพวกเขาจะตั้งใจที่จะดูแลจิตวิญญาณของพวกเขาอย่างดีและจะบังคับตนเองอย่างดีเพื่อที่พวกเขาจะไม่ล้มเหลว
มนุษย์ที่โง่เขลาหลอกตัวเองในเรื่องแผนการของตัวเอง,ในเรื่องความมั่นใจ, ในเรื่องสติปัญญาและกำลังของตัวเองอย่างน่าเวทนา พวกเขาเปรียบเหมือนกับกำลังไว้ใจในเงาอยู่เท่านั้น  แน่นอนที่คนส่วนใหญ่ที่ตายไปแล้ว (ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยมีชีวิตอยู่ภายใต้พระกรุณาของพระเจ้าแบบเดียวกันกับที่พวกเราได้รับนั้น) คนเหล่านั้นล้วนแต่อยู่ที่นรก ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ฉลาดเท่ากับคนที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะหลบหนีจากนรก ถ้าเราได้พูดคุยกับพวกเขาและได้สอบถามพวกเขาแต่ละคนเป็นการส่วนตัว ว่าตอนที่พวกเขาได้ยินเรื่องของนรกพวกเขาคาดคิดหรือไม่ว่าพวกเขาจะต้องมาทนทุกข์ทรมานแบบนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำตอบที่เราจะได้รับคือ “ไม่เลย ฉันไม่เคยตั้งใจที่จะมาที่นี่เลย แผนที่ฉันวางไว้ไม่ใช่แบบนี้ ฉันคิดว่าฉันวางแผนไว้สำหรับตัวเองดีแล้ว ฉันคิดว่าฉันมีแผนที่ดี ฉันตั้งใจที่จะดูแลจิตวิญญาณของตัวเองอย่างดี แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นกับฉันอย่างรวดเร็วมาก ฉันไม่ได้คิดถึงความตายมาพักใหญ่ ๆ แต่แล้วจู่ๆ ความตายก็เข้ามาหาฉันเหมือนกับขโมยที่มาในเวลากลางคืน ความตายมันฉลาดมากกว่าฉัน ความโกรธของพระเจ้านั้นมาเร็วเกินกว่าที่ฉันจะตั้งตัว โอ ฉันนั้นช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้  ฉันยกยอปอปั้นตัวเอง ทำให้ตัวเองพอใจกับความฝันที่ไร้ประโยชน์โดยคิดถึงสิ่งที่ฉันจะทำในชีวิตหลังความตาย; และขณะนั้นเองที่ฉันกำลังพูดว่า ‘สงบสุขและปลอดภัย’ ความพินาศก็มาถึงฉันอย่างทันทีทันใด”

10. พระเจ้าไม่ได้ทรงอยู่ใต้ข้อผูกมัดในสัญญาใด ๆ ที่จะช่วยให้คนใดคนหนึ่งไม่ต้องตกนรก พระเจ้าไม่ได้ทรงสัญญาที่จะให้ชีวิตนิรันดร์กับผู้คน หรือที่จะช่วยกู้/ช่วยปกป้องพวกเขาจากความตายนิรันดร์ มีแต่เพียงสัญญาที่อยู่ภายในพันธสัญญาแห่งพระกรุณาคุณของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ผู้ซึ่งในพระองค์นั้น สัญญาทุก ๆ อย่างล้วนแต่แน่นอนและเป็นความจริง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบรรดาผู้ที่ไม่ใช่บุตรแห่งพระสัญญาแห่งพระกรุณาคุณของพระเจ้าจะไม่สนใจในพระสัญญาของพระเจ้า และพวกเขาไม่เชื่อในพระสัญญาของพระองค์ และพวกเขาไม่แยแสผู้ที่เป็นคนกลางของพระสัญญานั้น คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา

ถึงแม้ว่าคนบางคนจะจินตนาการหรือสมมติเอาเองว่า เขาสามารถเอาพระสัญญาของพระเจ้ามาใช้กับความพยายามเสาะแสวงหาและการปฏิบัติตามหน้าที่ทางศาสนา มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามทำตามศาสนามากแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะสวดมนต์ภาวนามากแค่ไหน  พระเจ้าไม่ทรงอยู่ภายใต้ข้อตกลงใด ๆ เลยที่จะช่วยเขาให้ไม่ต้องไปในความตายนิรันดร์ได้ จนกว่าเขามาเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น

ดังนั้นคนบาปอยู่ในอุ้งมือของพระเจ้าที่อยู่เหนือขุมนรก พวกเขาสมควรที่จะตกลงไปในหลุมแห่งเพลิงไฟ และพวกเขาได้รับการ พิพาษาให้ไปที่นั่นแล้ว พระเจ้ากำลังโกรธอย่างเดือดดาล ความโกรธของพระองค์ที่มีต่อพวกเขานั้นมากพอ ๆ กับที่พระองค์มีต่อคนเหล่านั้นที่ได้รับโทษจากความโกรธอันดุเดือดของพระเจ้า และกำลังทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรก และพวกเขาไม่ได้กำลังทำอะไรที่จะระงับความโกรธของพระองค์หรือทำให้ความโกรธของพระองค์ลดน้อยลงเลย และพระเจ้าไม่ได้สัญญาอะไรเลยที่จะช่วยอุ้มเขาไว้ไม่ให้ตกลงไป ความชั่วร้ายรอคอยพวกเขาอยู่ นรกอ้าปากรอพวกเขาอยู่ เปลวเพลิงรวมตัวกันและฉายแสงไปที่พวกเขา พร้อมที่จะฉกฉวยและกลืนพวกเขาลงไป ไฟนรกที่ถูกกักเก็บไว้ในใจของพวกเขาต่อสู้เพื่อที่จะระเบิดออกมา และพวกเขาไม่สนใจในพระผู้ช่วยให้รอดคนไหนทั้งนั้น ไม่มีความสนใจในพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์สามารถเป็นคนกลางให้เขา ไม่มีที่ไหนที่เขาจะเอื้อมไปคว้าเพื่อช่วยให้เขาปลอดภัยได้ กล่าวอย่างสั้น ๆ คือ เขาไม่มีที่หลบภัย ไม่มีอะไรที่จะยึดเกาะเอาไว้ และในทุก ๆวินาทีสิ่งที่ปกป้องเขาไว้ไม่ให้ตกนรกคือพระกรุณาที่เขาไม่สมควรได้รับและความอดทนของพระเจ้าผู้ที่กำลังโกรธพวกเขาอยู่ และพระองค์ไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อผูกมัดใดๆ ที่จะช่วยพวกเขาและไม่ได้ทรงสัญญาว่าจะช่วยปกป้องพวกเขาให้พ้นจากการตกลงไปสู่ความตายที่ลุกไหม้อยู่
การประยุกต์ใช้

ข้าพเจ้าใช้หัวข้อที่น่าหวาดกลัวเพื่อที่จะทำให้คนที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่ตื่นตัวในเรื่องนี้ สิ่งที่พวกคุณเพิ่งจะได้ยินนั้นเป็นความจริงสำหรับคนที่ไม่มีพระเยซูคริสต์ โลกแห่งความทุกข์ทรมาน ทะเลกำมะถันที่กำลังลุกไหม้นั้น กำลังแผ่ขยายออกไปภายใต้คุณ สิ่งที่อยู่เบื้องล่างของคุณนั้นคือหลุมเพลิงแห่งพระพิโรธของพระเจ้าที่น่าสะพรึงกลัว ปากของนรกกำลังเปิดกว้างออก และคุณไม่มีที่ที่จะยืน ไม่มีอะไรที่จะยึดเกาะเอาไว้ ไม่มีอะไรอยู่ระหว่างคุณกับนรกนอกจากอากาศ มีแต่เพียงฤทธิ์อำนาจและพระกรุณาและความอดทนของพระเจ้าเท่านั้นที่พยุงคุณเอาไว้
คุณอาจจะไม่ได้ตระหนักในเรื่องนี้ คุณรู้ว่าปัจจุบันนี้คุณยังไม่ได้ตกนรก แต่คุณไม่ได้ว่าเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าช่วยอยู่ แต่คุณกลับไปมองที่สิ่งอื่นแทน เช่น การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์, การขะมักเขม้นดูแลชีวิตของตนเองเป็นอย่างดี และความเอาใจใส่ในการที่จะพยายามรักษาชีวิตเอาไว้ แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งต่างๆ  เหล่านั้นไร้ประโยชน์ ถ้าเพียงแต่พระเจ้าทรงปล่อยพระหัตถ์ของพระองค์ จะไม่มีอะไรที่ช่วยคุณไว้ไม่ให้คุณร่วงลงไป เหลือก็แต่เพียงอากาศที่ลอยไปมาอยู่เท่านั้น

ความชั่วร้ายของคุณทำให้คุณหนักอึ้งราวกับตะกั่ว และพร้อมที่จะร่วงลงไปสู่นรกเนื่องจากน้ำหนักอันมหาศาลและแรงโน้มถ่วง และถ้าเพียงแต่พระเจ้าปล่อยมือคุณ คุณจะจมลงไปในพริบตาและร่วงลงไปอย่างรวดเร็วในหลุมที่ลึกราวกับไม่มีก้นบึ้ง และร่างกายที่แข็งแรงของคุณ,การดูแลเอาใจใส่ของคุณ,และความรอบคอบ, แผนการอันยอดเยี่ยมและความชอบธรรมของคุณทั้งหมดจะไม่มีอิทธิพลใด ๆ ในการที่จะช่วยพยุงคุณไว้และช่วยไม่ให้คุณต้องตกนรก สิ่งเหล่านั้นมันจะเป็นเหมือนกับใยแมงมุมที่จะต้องรองรับก้อนหินที่กำลังตกลงมา ถ้าไม่ใช่เพราะว่า พระเจ้าทรงเลือกที่จะให้คุณอยู่ โลกนี้จะไม่ได้ให้คุณยืนอยู่ได้แม้แต่วินาทีเดียวเพราะว่าคุณเป็นเหมือนกับภาระของมัน สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างต้องร้องไห้คร่ำครวญก็เพราะว่าคุณ สิ่งมีชีวิตต้องเสื่อมสลายลงถึงแม้ว่าไม่เต็มใจ ดวงอาทิตย์ไม่ได้ตั้งใจที่จะให้แสงสว่างกับคุณเพื่อที่คุณจะทำบาปและรับใช้ซาตานได้ โลกนี้ไม่ได้ให้อาหารแก่คุณเพื่อที่คุณจะสามารถตอบสนองตัณหาราคะของตนเอง และโลกนี้ก็ไม่ใช่เวทีให้คุณแสดงความชั่วร้ายของคุณออกมา อากาศไม่ได้ตั้งใจที่จะให้คุณสูดเข้าไปเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อปรนนิบัติรับใช้ศัตรูของพระเจ้า สิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดีและมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับใช้พระเจ้าและมันไม่ต้องการที่จะเอนเอียงไปสู่เป้าหมายอื่น มันส่งเสียงคร่ำครวญเมื่อต้องถูกใช้อย่างผิดเพี้ยนไปจากเป้าหมายแท้จริงและจากธรรมชาติของมัน และโลกนี้จะขย้อนคุณออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้านายของสรรพสิ่งทั้งปวงสามารถปลดปล่อยมันจากความเสื่อมลงได้  มีกลุ่มเมฆดำทมิฬแห่งพระพิโรธของพระเจ้าลอยอยู่เหนือหัวของพวกคุณ กลุ่มเมฆเหล่านั้นเต็มไปด้วยพายุที่น่าสะพรึงกลัวและสายฟ้าขนาดใหญ่ และถ้าไม่ใช่เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้าที่ยับยั้งไว้ พายุที่รุนแรงเหล่านั้นจะพัดทำลายคุณในทันทีทันใด  เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้นที่ยังกักพายุเหล่านั้นไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วมันจะเข้ามาด้วยความโกรธและความพินาศของคุณจะมาอย่างพายุหมุน และคุณเองจะเป็นเหมือนดังเปลือกข้าวที่ถูกทิ้งไว้ในลานนวดข้าว เป็นดังเช่นขี้ฝุ่นในลมพายุ

พระพิโรธของพระเจ้านั้นเป็นเหมือนกับน้ำในทะเลสาบที่ถูกกักเก็บไว้ ปริมาณน้ำนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่ามันจะเจอทางระบายน้ำ ยิ่งน้ำถูกกักไว้นานเท่าไหร่ เมื่อปล่อยน้ำออกมามันก็จะยิ่งไหลเร็วและแรงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น มันเป็นความจริงที่การพิพากษาลงโทษความชั่วร้ายของคุณยังไม่ได้มาจัดการกับคุณตอนนี้ กระแสน้ำแห่งการแก้แค้นด้วยความโกรธของพระเจ้านั้นยังถูกยับยั้งไว้อยู่ แต่ในเวลาเดียวกันความผิดของคุณก็มีมากขึ้นทุกๆเวลาด้วย และทุกๆวัน คุณกำลังเพิ่มความโกรธของพระเจ้าที่มีต่อคุณมากขึ้นเรื่อย ๆ ปริมาณน้ำนั้นกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ และมีกำลังแรงมากขึ้นทุกๆเวลาและไม่มีอะไรมาหยุดยั้งมันได้นอกจากพระกรุณาอันอดทนของพระเจ้าที่ยับยั้งน้ำเหล่านั้นไว้ และกระแสน้ำเหล่านั้นไม่ได้ต้องการที่จะถูกยับยั้ง มันผลักดันอยู่ตลอดเวลาที่จะถูกปลดปล่อยออกไป ถ้าพระเจ้าปล่อยพระหัตถ์ของพระองค์จากประตูที่กั้นน้ำเอาไว้ ประตูนั้นจะพังทันทีและกระแสน้ำเชี่ยวแห่งความรุนแรงและความโกรธของพระเจ้าจะไหลทะลักออกมาด้วยความเดือดดาลที่ไม่มีใครเข้าใจได้ และจะมาหาคุณด้วยพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ และต่อให้คุณแข็งแรงมากกว่านี้หนึ่งหมื่นเท่า หรือแข็งแรงกว่าวิญญาณชั่วที่แข็งแรงมากที่สุดในขุมนรกหนึ่งหมื่นเท่า ความแข็งแรงของคุณก็เปรียบเทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวกับความแข็งแกร่งของกระแสน้ำแห่งความโกรธของพระเจ้า

คันธนูแห่งพระพิโรธของพระเจ้านั้นถูกง้างออกแล้วและลูกธนูก็พร้อมอยู่บนสายธนูแล้ว ความยุติธรรมได้เล็งลูกธนูมาที่หัวใจของคุณและง้างคันธนูออก และไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดนอกจากพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น (พระเจ้าที่ทรงพิโรธอยู่ ผู้ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้สัญญาหรือข้อผูกมัดใดใด ๆ ที่จะมีความกรุณาให้กับคุณ) ที่กำลังห้ามลูกธนูนั้นไม่ให้มาดื่มเลือดของคุณ ดังนั้นพวกคุณทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ที่ไม่เคยได้รับการเปลี่ยนแปลงหัวใจครั้งยิ่งใหญ่โดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในจิตวิญญาณของพวกคุณ พวกคุณที่ไม่เคยบังเกิดใหม่และได้รับการถูกสร้างใหม่และได้เป็นขึ้นมาจากความตายจากความบาปที่นำไปสู่แสงสว่างและชีวิตใหม่ (แสงสว่างและชีวิตที่คุณยังไม่เคยได้พบ) พวกคุณกำลังอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าที่กำลังพิโรธ ไม่ว่าคุณจะพยายามปรับปรุงชีวิตของคุณในหลาย ๆทางแค่ไหน และไม่ว่าคุณจะรู้สึกว่าตัวเองมีศาสนามากแค่ไหน และแม้ว่าคุณอาจจะพยายามปฎิบัติตามศาสนาในครอบครัวของคุณหรือในพระวิหารของพระเจ้า มันมีแค่เพียงพระประสงค์ของพระเจ้า(ที่ไม่มีข้อผูกมัดใดๆกับคุณ)ที่จะช่วยคุณไม่ให้ถูกกลืนลงไปในความตายนิรันดร์เสียในเวลานี้ ไม่ว่าคุณจะไม่เชื่อมากแค่ไหนก็ตามในความจริงที่คุณได้ยินในขณะนี้ วันหนึ่งคุณจะเชื่อมันอย่างแท้จริง คนเหล่านั้นที่ตายไปแล้วที่ครั้งหนึ่งเคยมีความคิดเช่นเดียวกันกับคุณ เขารู้แล้วว่าความคิดของเขาเหมือนกับที่คุณคิดตอนนี้ แต่ความตายมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว ตอนที่เขาคาดคิดน้อยที่สุด และตอนที่เขากำลังบอกว่า ‘สงบสุขและปลอดภัย’ ตอนนี้เขาได้เห็นแล้วว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นที่เขาได้พึ่งพาเพื่อได้รับความสงบสุขและความปลอดภัยนั้นมันไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากจะเป็นเหมือนอากาศที่บางเบาและเงาที่ว่างเปล่าเท่านั้น
พระเจ้าผู้ซึ่งอุ้มชูพวกคุณอยู่เหนือหลุมนรกนั้น (ซึ่งเปรียบได้กับคนที่กำลังถือแมงมุมหรือแมลงน่าเกลียดตัวหนึ่งอยู่เหนือกองไฟ) เกลียดชังคุณมากและกำลังพิโรธอย่างน่าสะพรึงกลัว ความโกรธของพระองค์ที่มีต่อคุณนั้นเผาผลาญดังเช่นกองไฟ พระองค์ทรงมองมาที่คุณแล้วเห็นว่าสิ่งเดียวที่สมควรกับคุณคือการถูกจับโยนเข้าไปในกองไฟ สายพระเนตรของพระองค์ก็บริสุทธิ์เกินกว่าที่จะมองที่คุณได้ ในสายตาของพระเจ้าคุณเองน่ารังเกียจมากกว่าที่เราเกลียดงูพิษเป็นหมื่นเท่า คุณได้กระทำผิดต่อพระเจ้าอย่างนับไม่ถ้วน มากยิ่งกว่าที่พวกกบฎหัวดื้อทำผิดต่อกษัตริย์หรือประธานาธิบดี แต่นั่นเอง ก็ยังเป็นแค่พระหัตถ์ของพระเจ้าที่อุ้มชูคุณในทุก ๆวินาทีเพื่อไม่ให้คุณต้องตกลงไปในไฟนรก มันไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นเลยที่ทำไมคุณยังไม่ต้องตกลงไปในนรกเมื่อคืนนี้ แต่คุณได้รับอนุญาตให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่คุณหลับตาลงนอนไปเมื่อคืน และมันไม่มีเหตุผลอื่นเลยที่ทำไมคุณไม่ได้ถูกจับโยนลงไปในนรกทันทีหลังจากที่คุณตื่นนอนเมื่อเช้านี้ นอกเสียจากเหตุผลเดียวคือ พระหัตถ์ของพระเจ้ายังคงจับคุณเอาไว้อยู่ ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะอธิบายได้ว่าทำไมคุณยังไม่ได้ไปที่นรก ตั้งแต่วินาทีที่คุณเข้ามานั่งในพระวิหารของพระเจ้าที่นี่ คุณได้ทำให้พระเจ้าพิโรธเพราะสายพระเนตรที่บริสุทธิ์ของพระองค์ต้องมาเห็นกิริยาอันเต็มไปด้วยความบาปชั่วของคุณเมื่อคุณเข้ามาในสถานที่นมัสการของพระองค์ ไม่มีเหตุผลอื่นๆ ที่จะสามารถอธิบายได้จริง ๆ ว่าทำไมในเวลานี้คุณถึงยังไม่ถูกโยนลงไปในนรก

โอ คนบาปทั้งหลาย! จงพิจารณาดูเถิดว่ากำลังตกอยู่ในอันตรายที่น่ากลัวมากแค่ไหน คุณกำลังถูกอุ้มอยู่เหนือเตาหลอมแห่งความโกรธ เหนือหลุมที่เต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธซึ่งกว้างและลึกราวกับไม่มีก้นหลุม และเป็นพระหัตถ์ของพระเจ้าที่จับคุณไว้อยู่และพระพิโรธอันเดือดดาลของพระองค์มุ่งมาที่คุณมากพอ ๆ กับที่พระองค์ทรงพิโรธพวกคนเหล่านั้นที่ได้รับการแช่งสาปและตอนนี้อยู่ในนรกเรียบร้อยแล้ว คุณถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายเส้นเล็ก ๆ เหนือนรก ที่เปลวเพลิงแห่งความโกรธของพระองค์ส่องแสงวาบออกมา มันพร้อมที่จะเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างให้ราบคาบในทุกวินาที และคุณไม่เคยแยแสในคนกลาง ไม่เคยสนใจในพระผู้ช่วยให้รอดคนไหน ๆทั้งนั้น และไม่มีอะไรที่จะมาช่วยคุณได้ และไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งเปลวเพลิงแห่งพระพิโรธได้ ไม่มีอะไรภายในคุณ,ไม่มีอะไรที่คุณเคยทำและไม่มีอะไรที่คุณสามารถจะทำเพื่อโน้มน้าวพระเจ้าให้ไว้ชีวิตของคุณได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

ตอนนี้ขอให้คุณพิจารณาสิ่งต่างๆ เหล่านี้โดยละเอียด:

1. ใครเป็นเจ้าของพระพิโรธนี้:
พระพิโรธนี้เป็นของพระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาล ถ้าเป็นเพียงแค่ความโกรธของมนุษย์ ต่อให้เป็นผู้ครอบครองที่ทรงพลังมากที่สุดในโลกนี้ ก็ยังเป็นแค่เล็กน้อยเมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ความโกรธของผู้ครอบครองในโลกนี้จะเป็นที่น่าเกรงกลัวเฉพาะบางเวลาเท่านั้น โดยเฉพาะกับพวกผู้นำที่เป็นเผด็จการที่ต้องการให้ชีวิตและสรรพสิ่งต่าง ๆ ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเขาอย่างสิ้นเชิง และความโกรธของพวกผู้ครอบครองในโลกนี้สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตามอำเภอใจของพวกเขา สุภาษิต 20:2 “ความกริ้วอันน่ากลัวของพระราชาก็เหมือนเสียงคำรามของสิงห์หนุ่ม ใครยั่วพระองค์ให้กริ้วก็เสี่ยงชีวิตตนเอง” พลเมืองที่ทำให้ผู้นำเผด็จการโกรธก็มีแนวโน้มที่จะต้องเจอกับความทรมานแสนสาหัสอย่างมากหรือเท่าที่กำลังของมนุษย์จะทำได้ แต่ถึงแม้ผู้ครอบครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีกำลังและอำนาจสูงที่สุด แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยความน่าสะพรึงกลัวมากที่สุด ก็เป็นได้เพียงแค่หนอนที่น่าขยะแขยงไร้เรี่ยวแรงเมื่อเปรียบเทียบกับพระผู้สร้างที่ทรงฤทธานุภาพและกษัตริย์แห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สิ่งที่พวกคนเหล่านั้นทำยามที่พวกเขาถูกยั่วยุให้โกรธนั้นเป็นสิ่งเล็กน้อยเท่านั้นแม้แต่ในยามที่พวกเขาเดือดดาลอย่างที่สุด ต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า กษัตริย์ของโลกนี้เป็นเพียงแค่ตั๊กแตนเท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีค่าอะไรเลย ยิ่งกว่าไร้ค่าเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือความเกลียดชังที่พวกเขามีก็ถูกนับว่าเปล่าประโยชน์ ความโกรธอันเดือดดาลของผู้ซึ่งเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์นั้นโหดร้ายมากกว่าความโกรธของพวกคนเหล่านั้น เพราะว่ากำลังและฤทธานุภาพของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่กว่ากำลังและฤทธานุภาพของคนเหล่านั้น ลูกา 12:4-5 “มิตรสหายของเราเอ๋ย เราบอกพวกท่านว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย เสร็จแล้วไม่มีอะไรที่จะทำได้อีก แต่เราจะเตือนให้ท่านรู้ก่อนว่าควรจะกลัวใคร จงกลัวพระองค์ผู้ที่เมื่อทรงฆ่าแล้วก็ยังมีสิทธิอำนาจที่จะทิ้งลงในนรกได้ แท้จริง เราบอกพวกท่านว่าจงกลัวพระองค์นั้นแหละ”

2. เรากำลังประสบกับความรุนแรงของพระพิโรธของพระเจ้า
เราได้อ่านในพระคัมภีร์อยู่บ่อย ๆ เกี่ยวกับพระพิโรธอันรุนแรงของพระเจ้า เช่นใน อิสยาห์ 66:15 “เพราะดูสิ พระยาห์เวห์จะเสด็จมาด้วยไฟและรถรบของพระองค์เหมือนลมพายุ เพื่อสำแดงพระพิโรธของพระองค์อย่างเกรี้ยวกราด และสำแดงการกำราบของพระองค์ด้วยไฟ” และในอีกหลายแห่งเช่น ในวิวรณ์ 19:15 ที่บอกว่า “พระองค์จะทรงย่ำบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธรุนแรงของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด” คำต่างๆ ในข้อนี้ช่างน่าหวาดสะพรึงกลัวเหลือเกิน ถ้าเพียงแค่บอกว่า “พระพิโรธของพระเจ้า” ความหมายในที่นี้คือความน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ว่ามันคือ “พระพิโรธรุนแรงของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด” พระพิโรธรุนแรงของพระเจ้า! ความเดือดดาลของพระยาห์เวห์! โอมันจะช่างน่าสะพรึงกลัวมากแค่ไหน! ใครจะสามารถเล่าหรือเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร! แต่มากยิ่งกว่านั้น “พระพิโรธรุนแรงของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด” ราวกับจะอธิบายให้เห็นภาพความยิ่งใหญ่แห่งฤทธานุภาพของพระองค์ในพระพิโรธรุนแรงของพระองค์ที่พระองค์จะกระทำ ราวกับว่าความเป็นพระเจ้าที่มีฤทธิ์อำนาจสูงสุดถูกทำให้โกรธ โอ ถ้าอย่างนั้นผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร! เจ้าหนอนที่น่าสงสารจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องทนทุกข์ทรมาน! มือของผู้ใดที่จะสามารถทนทานอยู่ได้ และหัวใจของใครจะสามารถทนต่อความโกรธเช่นนั้นได้ และสัตว์โลกที่น่าสงสารจะต้องจมดิ่งลงส่งความทุกข์ทรมานที่น่าสะพรึงกลัวเกินคำบรรยายและไม่สามารถจินตนาการได้ แล้วพวกเขาจะต้องทนอยู่อย่างนั้น!

จงพิจารณาดูเถิด พวกคุณที่อยู่ที่นี่ ที่ยังไม่ได้กลับใจและยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ความจริงที่ว่าพระเจ้าจะจัดการด้วยพระพิโรธอันเดือดดาลของพระองค์นั้นมีหมายถึง พระองค์จะทรงเทพระพิโรธของพระองค์ลงมาโดยไร้ซึ่งความสงสาร เมื่อพระเจ้าทรงเห็นความยากลำบากที่เกินคำบรรยายในสถานการณ์ของคุณ และเห็นว่าความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นกับคุณนั้นมากเกินกว่าที่คุณจะรับได้ หรือเห็นว่าจิตวิญญาณที่น่าสงสารของคุณกำลังจะถูกบดขยี้และจมลงไปสู่ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด พระองค์จะไม่มีความเมตตาสงสารให้กับคุณเลยและพระองค์จะไม่ทรงละเว้นที่จะจัดการตามพระพิโรธของพระองค์ และจะไม่ทรงเบาพระหัตถ์ของพระองค์ลงในเรื่องนี้ จะไม่มีการโอนอ่อนผ่อนเบาหรือความเมตตา และพระเจ้าจะไม่มีขีดจำกัดให้กับพายุที่รุนแรงของพระองค์  พระองค์จะไม่สนใจใยดีในความสุขของคุณเลย จะสนใจแค่ว่าคุณจะต้องทนทุกข์ตามที่ความยุติธรรมได้กำหนดไว้ พระองค์จะไม่อะลุ่มอะล่วยให้คุณเพราะเห็นว่ามันเกินที่จะคุณจะแบกรับได้แล้ว ในเอเสเคียล 8:18 เราได้อ่านว่า “ดังนั้นเราเองจะทำด้วยความโกรธ นัยน์ตาของเราจะไม่ปรานี  เราจะไม่สำแดงความกรุณา และแม้ว่าพวกเขาจะร้องด้วยเสียงอันดังใส่หูของเรา เราก็จะไม่ฟังพวกเขา”

ขณะนี้พระเจ้าทรงพร้อมที่จะเมตตาคุณแล้ว วันนี้เป็นวันแห่งพระเมตตา ในตอนนี้คุณสามารถร้องขอด้วยความหวังเพื่อจะได้รับพระเมตตา แต่เมื่อวันแห่งพระเมตตาผ่านพ้นไป ต่อให้คุณร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดหรือว่ากรีดร้องมากแค่ไหนก็จะไม่มีประโยชน์ คุณจะถูกโยนทิ้งและสูญหายไป พระองค์จะไม่สนใจใยดีในสารทุกข์สุกดิบของคุณ ชีวิตคุณไม่มีประโยชน์อีกต่อไปนอกจากที่จะมีไว้เพื่อทนทุกข์โศกเศร้า ชีวิตของคุณจะมีอยู่เพียงแค่เป็นเป้าของพระพิโรธของพระเจ้าที่มีไว้เพื่อถูกทำลายเท่านั้น คุณจะไม่มีประโยชน์ใดๆ อีกต่อไป นอกจากเป็นที่ซึ่งบรรจุพระพิโรธของพระเจ้าไว้อย่างเต็มเปี่ยม พระเจ้าจะไม่มีความเมตตาให้คุณเลยเมื่อคุณร้องไห้ต่อพระองค์ เหมือนที่เขียนไว้ว่าพระองค์จะ “หัวเราะเยาะและเยาะเย้ย” ในสุภาษิต 1:25-26 “พวกเจ้าเพิกเฉยคำแนะนำทุกอย่างของข้า และไม่ยอมรับคำตักเตือนของข้าเลย ข้าเองจะหัวเราะเยาะความหายนะของพวกเจ้า ข้าจะเยาะเย้ยเมื่อความกลัวมาถึงพวกเจ้า”

ถ้อยคำจาก อิสยาห์ 63:3 ช่างน่าหวาดกลัวอะไรเช่นนี้ ถ้อยคำเหล่านั้นมาจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ “เราย่ำมันด้วยความโกรธของเรา เราเหยียบมันด้วยความพิโรธของเรา โลหิตของเขาเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้าของเรา และเราทำให้เครื่องแต่งกายของเราเลอะไปหมด” ไม่มีอะไรที่จะสามารถอธิบายข้อพระคัมภีร์ด้านบนนี้ได้ดีมากไปกว่าสามคำนี้ ; น่ารังเกียจ, ความเกลียด และความโกรธอย่างเดือดดาล ถ้าคุณร้องให้พระเจ้าทรงเมตตาคุณ พระองค์ทรงอยู่ห่างไกลจากความคิดที่จะประทานความเมตตาให้กับคุณถึงแม้คุณอยู่ในสถานการณ์ที่โหดร้าย และพระองค์จะไม่ให้พระกรุณาหรือความโปรดปรานกับคุณเลยแม้แต่น้อย และแทนที่พระองค์จะเมตตาคุณ พระองค์จะเหยียบคุณลงใต้ฝ่าเท้าของพระองค์แม้ว่าพระองค์ทรงรู้ว่าคุณเองไม่อาจที่จะทนรับน้ำหนักทอันทรงพลานุภาพที่กำลังเหยียบอยู่บนคุณได้ พระองค์จะไม่ได้สนใจใยดีเลย แต่พระองค์จะใช้พระบาทของพระองค์บดขยี้คุณอย่างไร้พระเมตตา พระองค์จะบดขยี้คุณจนกว่าเลือดของคุณจะกระเด็นออกมา ให้มันกระเด็นใส่เสื้อผ้าของพระองค์ ให้มีรอยเปื้อนเลอะอยู่บนเสื้อผ้าของพระองค์ พระองค์ไม่ใช่เพียงแค่เกลียดคุณเท่านั้น แต่พระองค์จะทำให้คุณน่ารังเกียจอย่างที่สุดด้วย ไม่มีที่ไหนที่เหมาะกับคุณ นอกจากที่ใต้พระบาทของพระองค์เพื่อที่จะถูกเหยียบย่ำเช่นเดียวกับเศษดินบนถนนเท่านั้น

3. ความทุกข์ทรมานที่คุณกำลังได้ยิน นั้นเป็นความทุกข์ทรมานที่พระเจ้าจะทำกับคุณ  เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าพระพิโรธของพระยาห์เวห์นั้นเป็นเช่นไร พระเจ้ามีความตั้งใจที่จะแสดงให้ทูตสวรรค์และมนุษย์ทั้งหลายให้ได้เห็นทั้ง ความรักของพระเจ้าว่ามันช่างวิเศษมากแค่ไหน และได้เห็นพระพิโรธของพระองค์ว่ามันโหดร้ายแค่ไหน บางครั้งผู้ครอบครองในโลกนี้ตั้งใจที่จะแสดงความโหดร้ายของความโกรธของพวกเขาโดยการที่จะลงโทษคนที่ทำให้เขาโกรธอย่างสาสม กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์ผู้ทรงฤทธิ์อำนาจและหยิ่งผยอง ทรงเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรคาลเดียน พระองค์ต้องการที่จะแสดงพระพิโรธของพระองค์เมื่อชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกได้ทำให้พระองค์ทรงกริ้ว ตามที่พระองค์ได้ออกคำสั่งให้ทำเตาไฟให้ร้อนกว่าปกติอีกเจ็ดเท่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความร้อนที่เพิ่มขึ้นมานั้นเกินกว่าที่มนุษย์จะรับได้ แต่พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ก็ทรงปรารถนาที่จะแสดงพระพิโรธที่ดุเดือดของพระองค์และสำแดงฤทธานุภาพและฤทธิ์อำนาจของพระองค์เพื่อให้ศัตรูของพระองค์ต้องทุกข์ทรมานอย่างที่สุดด้วย โรม 9:22 “เป็นไปได้ไหมที่พระเจ้าทรงประสงค์จะแสดงพระพิโรธและให้ฤทธิ์เดชของพระองค์ปรากฎ แต่พระองค์ทรงอดทนมากต่อคนเหล่านั้นที่เป็นภาชนะแห่งพระพิโรธ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับความพินาศ?” และเมื่อได้เห็นว่า นี่เป็นความตั้งใจของพระองค์ เป็นสิ่งที่พระองค์ได้วางแผนเอาไว้ ที่พระองค์ประสงค์จะแสดงพระพิโรธอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่มีอะไรมายับยั้งไว้ ให้เห็นว่าความเดือดดาลและความโหดร้ายของพระยาห์เวห์เป็นเช่นไร รับรองได้เลยว่าพระองค์จะทำสิ่งเหล่านั้นอย่างเต็มกำลัง และสิ่งที่พระองค์กระทำจะต้องสำเร็จและน่าขยาดจนไม่มีใครอยากจะเห็นมัน  เมื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งกำลังพิโรธได้ลุกขึ้นเพื่อจะชำระความแค้นกับพวกคนบาปที่น่าสงสาร พวกคนชั่วช้าเหล่านั้จะต้องทนทุกข์กับพลังความโกรธของพระเจ้าที่หนักอึ้งอยู่บนเขาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด   และพระองค์จะทรงเรียกให้จักรวาลทั้งสิ้นมาดูฤทธานุภาพที่น่าสะพรึงกลัวของพระองค์และพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่จะปรากฎอยู่ในนั้น         อิสยาห์ 33:12 “และประชาชนทั้งหลายก็จะเหมือนถูกเผาจนเป็นปูน เหมือนกอหนามที่ถูกตัดแล้วเผาในไฟ พวกเจ้าผู้อยู่ไกล ฟังซิว่าเราได้ทำอะไร เจ้าผู้อยู่ใกล้ จงรับรู้กำลังของเรา พวกคนบาปในศิโยนก็หวาดกลัว ความสะทกสะท้านเข้าครอบงำคนไร้พระเจ้า มีใครในพวกเราอยู่กับไฟที่เผาผลาญได้? มีใครในพวกเราอยู่กับการเผาไหม้เป็นนิตย์ได้?”

พวกคุณที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่จะต้องได้รับสิ่งเหล่านี้ พวกคุณทั้งหลายที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ถ้าคุณยังดำเนินชีวิตในทางนี้ต่อไปเรื่อย ๆ  ฤทธานุภาพที่ไม่มีขีดจำกัดและสง่าราศีของพระองค์และความน่าสะพรึงกลัวของพระเจ้าผู้ทรงมีฤทธิ์อำนาจในการทำสิ่งสารพัดจะปรากฎอยู่ในความทุกข์ทรมานเกินคำบรรยายที่คุณจะได้รับ คุณจะต้องทนทุกข์ทรมานต่อหน้าบรรดาทูตสวรรค์และพระเมษโปดก และขณะที่คุณกำลังทนทุกข์อยู่ บรรดาประชากรแห่งเมืองสวรรค์ก็จะมาดูภาพที่น่าสยดสยองนั้น เพื่อที่เขาจะได้เห็นพระพิโรธและความโกรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นเช่นไร และเมื่อเขาได้เห็นแล้ว พวกเขาจะคุกเข่าลงและนมัสการพระองค์ผู้ทรงสำแดงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่และเปี่ยมด้วยพระเกียรติสิริ อิสยาห์ 66:23-24 “จากวันขึ้นค่ำถึงอีกวันขึ้นค่ำ และจากวันสะบาโตถึงอีกวันสะบาโต มนุษย์ทั้งหมดจะมานมัสการต่อหน้าเรา พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ และพวกเขาจะออกไปมองดูซากศพของพวกคนที่กบฎต่อเรา เพราะว่าหนอนที่กัดคนเหล่านี้จะไม่ตายไป ไฟที่เผาพวกเขาจะไม่ดับ และเขาทั้งหลายจะเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนของมนุษย์ทั้งหมด”

4. พระพิโรธนี้อยู่ชั่วกัลปาวสาน
แค่เพียงแต่ที่จะต้องทนทุกข์จากความพระพิโรธอันเดือดดาลขององค์พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดเพียงชั่วขณะหนึ่งมันก็น่าสะพรึวกลัวพออยู่แล้ว แต่ว่าคุณจะต้องทนทุกข์ทรมานนั้นตลอดนิตย์นิรันดร์ จะไม่มีจุดจบของความทุกข์ทรมานแสนสาหัสนี้ เมื่อคุณมองไปข้างหน้า คุณจะเห็นอนาคตที่ไกลและไร้จุดจบอยู่ต่อหน้าคุณ มันจะดูดกลืนความคิดของคุณและมันจะทำให้จิตวิญญาณของคุณพิศวง คุณจะสิ้นหวังที่จะหาว่ามีทางไหนที่จะออกมาจากที่นั่นได้, จะมีจุดจบของความทุกข์ทรมานนี้หรือไม่, ความทุกข์ทรมานนี้จะบรรเทาลงบ้างหรือไม่ หรือมีที่ให้คุณได้หยุดพักบ้างหรือไม่ คุณจะรู้ว่าคุณจะต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน เป็นล้านยุคสมัย ในการต่อสู้และทำสงครามกับการล้างแค้นที่ไร้เมตตาขององค์ผู้ยิ่งใหญ่ และเมื่อคุณได้ทนทุกข์ทรมานผ่านไปชั่วขณะหนึ่งแล้ว คุณจะได้รู้ว่าเวลาหลายยุคสมัยที่คุณได้ทนทุกข์มานั้นเป็นเหมือนจุดเล็ก ๆ บนเส้นของเวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นการลงโทษที่คุณได้รับก็ไม่มีที่สิ้นสุดด้วย โอ ใครเล่าจะสามารถบรรยายถึงสภาพของจิตวิญญาณที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้! สิ่งที่เราบรรยายออกมาได้จะเป็นแค่เสี้ยวเล็กๆ ของมันเท่านั้น มันไม่สามารถอธิบายได้และไม่มีทางที่เราจะเข้าใจได้ เพราะว่า “ใครเล่าจะรู้จักพลังแห่งพระพิโรธของพระเจ้า?”
มันช่างน่าสะพรึงกลัวเหลือเกินสำหรับพวกคนเหล่านั้นที่ทุกๆวันเวลาพวกเขาตกอยู่ในอันตรายจากพระพิโรธอันใหญ่หลวงและความทุกข์ทรมานที่มีที่สิ้นสุด แต่เรื่องที่น่าหดหู่นี้ก็เป็นความจริงสำหรับจิตวิญญาณทุกดวงของคนที่อยู่ในประชุมนี้ที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่อีกครั้ง ไม่ว่าพวกเขาจะเคร่งครัด, มีศีลธรรม, เอาจริงเอาจังและยึดมั่นในศาสนามากแค่ไหน  คนทั้งหลายเอ๋ยจงใคร่ครวญในเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจังเถิด ไม่ว่าจะเป็นคนอายุมากหรืออายุน้อย มันจำเป็นเหลือเกินที่จะตระหนักว่ามีหลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้กำลังตกเป็นเป้าของความทุกข์ทรมานแบบชั่วกัลป์ชั่วกัลป์ เราไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร หรือว่านั่งอยู่ที่ไหน หรือว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้  พวกเขาอาจจะรู้สึกเฉย ๆ ถึงแม้ว่าได้ยินสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้วก็ไม่ทำให้พวกเขาวิตกกังวลมาก และพวกเขาก็กำลังปลอบใจตัวเองว่าเขาไม่ได้กำลังตกอยู่ในอันตราย และเขาให้สัญญากับตัวเองว่าเขาจะหนีจากความทุกข์แบบนั้นได้ ถ้ามีแค่เพียงคนเดียวในที่ประชุมนี้ที่กำลังตกเป็นเป้าของความทุกข์ทรมานแบบนั้น มันช่างโหดร้ายเกินกว่าที่จะคิดได้ และถ้าเรารู้ว่าตนนั้นเป็นใคร เราจะรู้สึกแย่แค่ไหนที่จะต้องได้เห็นคนๆนั้น  ที่ประชุมทั้งหมดควรจะร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าและขมขื่นใจแทนเขา! แต่อนิจจา! แทนที่จะมีเพียงแค่คนเดียว ข้าพเจ้าสงสัยว่ามีกี่คนในพวกคุณที่จะต้องตกนรก และเมื่อไปถึงที่นั่นแล้วคุณถึงจำคำเทศนาเรื่องนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลยถ้าพวกคุณที่อยู่ในห้องนี้จะต้องไปอยู่ในนรกในเวลาอีกไม่นาน บางทีอาจจะก่อนสิ้นปีนี้ด้วย และข้าพเจ้าก็ไม่ประหลาดใจอีกเช่นกัน ถ้ามีบางคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ในตึกแห่งนี้ที่มีสุขภาพดี, มีชีวิตอยู่อย่างสงบและปลอดภัยแต่จะต้องไปอยู่ที่นรกก่อนเวลาเช้าวันพรุ่งนี้ พวกคุณที่ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่และยังไม่ได้ลงไปที่นรกก็จะต้องไปที่นั่นอีกไม่นาน! คำแช่งสาปของคุณไม่ได้หลับใหลอยู่ มันจะมาหาคุณอย่างรวดเร็ว และมันอาจจะมาหาพวกคุณหลายคนในที่นี้อย่างรวดเร็ว คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมคุณยังไม่ไปอยู่ที่นรก มันเป็นเรื่องจริงที่มีหลายคนที่คุณรู้จักหรือเคยเจอพวกเขาที่ดูเหมือนว่าทั้งคุณและพวกเขาไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่คือต้องตกนรกเหมือนกัน คนเหล่านั้นก่อนที่เขาจะตายไป เขามีชีวิตเหมือนกับที่คุณมีชีวิตอยู่ในขณะนี้  แต่ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเขานั้นเกินที่จะหวังได้แล้ว พวกเขาต้องร้องไห้คร่ำครวญในความทุกข์ทรมานแสนสาหัสและหมดสิ้นความหวัง แต่พวกคุณยังอยู่ในโลกนี้ อยู่ในพระวิหารของพระเจ้าและคุณมีโอกาสที่จะได้รับความรอด ดวงวิญญาณเหล่านั้นที่ทนทุกข์อย่างไร้ความหวังจะยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้รับโอกาสอย่างที่พวกคุณได้รับในตอนนี้แค่เพียงครั้งเดียว

ตอนนี้คุณได้รับโอกาสพิเศษ คุณอยู่ในเวลาที่พระเยซูทรงให้ประตูแห่งพระเมตตาเปิดกว้างอยู่ และทรงยืนร้องเรียกด้วยเสียงอันดังต่อหน้าบรรดาคนบาปที่น่าเวทนา นี่เป็นเวลาที่คนมากมายกำลังรวมตัวเข้าหาพระองค์และรีบเร่งเข้าไปอาณาจักรของพระเจ้า ทุกๆวันมีคนมากมายจากทั้งตะวันออก, ตะวันตก, เหนือและใต้ คนมากมายที่เคยอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาเหมือนที่คุณเป็นอยู่ในตอนนี้ แต่ว่าขณะนี้พวกเขาอยู่อย่างมีความสุขแล้ว เขามีหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักต่อพระเจ้าผู้ทรงรักพวกเขา และทรงชำระล้างความบาปของเขาด้วยพระโลหิตของพระองค์ และตอนนี้เขาชื่นชมยินดีในความหวังแห่งพระสิริของพระเจ้า มันจะแย่มากแค่ไหนที่จะต้องถูกทิ้งไว้ตามลำพังเมื่อวันนั้นมาถึง ที่จะต้องเห็นคนอื่นกำลังกินเลี้ยงอยู่อย่างสนุกสนานในขณะที่คุณกำลังโศกเศร้าและทนทุกข์ทรมาน! มันจะเลวร้ายแค่ไหนที่จะต้องเห็นคนอื่นๆ กำลังร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดีจากหัวใจของเขา ในขณะที่คุณกำลังร้องไห้คร่ำครวญเพราะหัวใจที่ทุกข์ระทมของคุณ คุณได้แต่ร้องโหยหวนจากจิตวิญญาณที่เจ็บปวด! คุณสามารถพักผ่อนหย่อนใจได้อย่างไรทั้งๆที่คุณกำลังตกอยู่ในสภาพนี้ ดวงวิญญาณของคุณนั้นมีค่ามากพอๆกับดวงวิญญาณของคนเหล่านั้นที่เมือง Suffield ที่ซึ่งคนมากมายกำลังมาหาพระเยซูทุกๆ วัน

มีคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้มานานแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้กลับใจใหม่หรือไม่ ถ้ามีพวกเขาก็ยังเป็นคนแปลกหน้าท่ามกลางชนชาติอิสราเอล และตลอดทั้งชีวิตของเขา พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากสะสมพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา โอคนทั้งหลาย คุณอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ความผิดของคุณก็มหันต์และหัวใจของคุณก็แข็งกระด้างอย่างที่สุด คุณไม่เห็นหรือว่าผู้คนมากมายในช่วงชีวิตของคุณได้ตายจากไปในช่วงเวลาแห่งพระเมตตาของพระเจ้านี้ คุณควรที่จะพิจารณาสถานการณ์ของคุณอย่างถี่ถ้วน และตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลได้แล้ว คุณไม่มีทางที่จะทนต่อความโหดร้ายและพระพิโรธของพระเจ้าผู้ดำรงอยู่ชั่วนิตย์นิรันดร์ได้

สำหรับพวกคุณ คนหนุ่มสาวทั้งหลาย คุณจะเพิกเฉยต่อโอกาสที่มีคุณค่าเช่นนี้หรือ ในขณะที่คนที่อายุเท่าคุณหลายต่อหลายคนกำลังละทิ้งความสนุกสนานในวัยหนุ่มที่ไร้ประโยชน์และกำลังเข้าไปหาพระเยซู  พวกคุณที่กำลังได้รับโอกาสที่พิเศษ ถ้าคุณปฎิเสธมัน คุณก็จะเป็นเหมือนพวกคนอาวุโสเหล่านั้นที่ใช้ช่วงชีวิตวัยรุ่นที่มีค่าไปกับการสำเริงสำราญในความบาป และตอนนี้พวกเขากลายเป็นคนที่จิตใจและแข็งกระด้างอย่างเลวร้าย
สำหรับพวกคุณที่ยังเป็นเด็ก และยังไม่ได้กลับใจใหม่ คุณไม่รู้หรือว่าคุณจะต้องตกนรก จะต้องทนทุกข์ทรมานกับพระพิโรธที่รุนแรงของพระเจ้า ผู้ซึ่งมีความโกรธต่อคุณทุกวันทุกคืน คุณพอใจที่ตกเป็นบุตรของมารซาตานหรือ ในขณะที่มีเด็กมากมายกลับใจใหม่แล้วและพวกเขาได้กลายเป็นบุตรแห่งกษัตริย์เหนือกษัตริย์และได้รับทั้งความสุขและความบริสุทธิ์

ขอให้พวกคุณทุกคนที่ยังไม่มีพระเยซูคริสต์ในชีวิต และกำลังถูกแขวนอยู่เหนือหลุมนรก ไม่ว่าคุณจะเป็นชายหรือหญิงอาวุโส ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยกลางคน หรือว่าเป็นคนหนุ่มสาว หรือแม้แต่เด็กเล็ก จงฟังเสียงเรียกของพระคำและการจัดเตรียมของพระองค์ ปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้าคือเวลานี้แล้ว และวันที่พระเจ้าทรงมีความโปรดปรานให้แก่บางคนจะเป็นวันแห่งการล้างแค้นสำหรับบางคนอย่างไม่ต้องสงสัย จิตใจของมนุษย์จะแข็งกระด้างและความผิดบาปของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถ้าพวกเขายังเพิกเฉยต่ดวงวิญญาณของพวกเขาเองเช่นนี้ ้ และเมื่อคนถูกปล่อยให้ไปมีใจที่กระด้างและจิตใจที่มืดบอดเขาก็กำลังอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง ดูเหมือนว่าตอนนี้พระเจ้ากำลังทรงรวบรวมบรรดาคนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้จากทั่วสารทิศ  บางทีอาจจะมีคนจำนวนมากกำลังจะได้รับความรอดในเวลาอีกไม่นาน และบางทีมันอาจจะเป็นเหมือนกับเหตุการณ์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เทลงมาบนชาวยิวเหมือนในสมัยของพวกอัครทูต  พวกที่พระเจ้าทรงเลือกไว้จะได้รับพระเมตตา ส่วนคนที่เหลือจะตาบอด ถ้าคุณอยู่ในพวกที่ไม่ได้รับพระเมตตา คุณจะแช่งสาปวันที่คุณอยู่วันนี้ คุณจะแช่งสาปวันที่คุณเกิดมาลืมตาดูโลกที่คุณจะต้องได้เห็นพระเจ้าทรงเทพระวิญญาณของพระองค์ลงมา และคุณจะขอที่จะตายและไปนรกก่อน เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเห็นสิ่งที่คุณไม่มีทางได้รับนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเวลานี้เป็นเหมือนในสมัยของยอห์น ผู้ให้บัพติศมา ที่ขวานก็ถูกวางไว้ที่รากของต้นไม้แล้ว และต้นไม้ต้นไหนที่ไม่เกิดผลก็จะถูกโค่นลงและถูกเอาไปเผาไฟ

ดังนั้นพวกคุณทุกคนที่ไม่มีพระเยซูคริสต์ ขอจงตื่นขึ้นเถิดและรีบหนีจากพระพิโรธของพระเจ้าที่กำลังจะมา พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดลอยอยู่เหนือกลุ่มคนที่อยู่ในที่ประชุมนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ขอให้พวกคุณทุกคนรีบเร่งออกจากเมืองโสโดม “หนีเอาชีวิตรอดเถิด อย่าเหลียวหลังและอย่าหยุดที่ไหนในที่ลุ่มทั้งหมด หนีไปที่เนินเขา มิฉะนั้นท่านจะถูกทำลาย!”